การจัดฟัน (Orthodontics) หรือการดัดฟัน

การจัดฟัน (Orthodontics) เป็นที่นิยมอย่างมากในปัจจุบัน ทั้งในด้านความสวยงาม และด้านการรักษา เพราะเป็นการจัดเรียงฟันให้ได้ตำแหน่งที่เหมาะสม ซึ่งจะช่วยให้เคี้ยวอาหารได้ง่ายขึ้น และยิ้มได้สวยขึ้น แต่ก่อนที่จะตัดสินใจจัดฟันหรือดัดฟัน เราควรรู้จักการจัดฟันให้ดีเสียก่อนนะคะ

ทำไมต้องจัดฟัน?

โครงสร้างภายในช่องปากของแต่ละคนนั้นไม่เหมือนกัน ฟันของบางคนจัดเรียงตัวกันอย่างเป็นระเบียบ ขณะที่บางคนขนาดฟันใหญ่หรือเล็กเกินไป ฟันเก ฟันเหยิน ฟันห่าง ฟันซ้อน ทำให้การสบฟันมีปัญหา ส่งผลต่อการเคี้ยวหรือบดอาหาร การดูแลรักษาฟัน รวมไปถึงปัญหาด้านขากรรไกร และปัญหาด้านบุคลิกภาพ ทำให้ขาดความมั่นใจ ดังนั้นการจัดฟันให้เรียงตัวกันในตำแหน่งที่ถูกต้องเหมาะสมจึงเป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่จะช่วยแก้ปัญหาเหล่านี้

ควรเริ่มจัดฟันเมื่อไร?

สำหรับช่วงอายุที่เริ่มจัดฟันได้แล้วคือ ประมาณ 11 – 13 ปีที่เป็นวัยที่ฟันแท้ขึ้นครบแล้ว ไปจนถึงวัยผู้ใหญ่ ถ้าหากมีปัญหาการสบฟันหรือปัญหาโครงสร้างในช่องปากมากๆ ก็อาจจัดฟันได้ในช่วงวัยที่ฟันแท้ขึ้นผสมกับฟันน้ำนมเพื่อลดปัญหาความรุนแรงที่อาจพัฒนาไปจนผิดปกติ แต่ทั้งนี้ผู้ที่ต้องการจัดฟันต้องเข้ารับคำปรึกษากับทันตแพทย์เสียก่อนว่าโครงสร้างในช่องปากของเราควรจัดฟันหรือไม่ ถ้าหากไม่มีความผิดปกติหรือพบปัญหาใดๆ ก็ไม่จำเป็นต้องจัดฟัน

จัดฟันแบบไหนได้บ้าง?

การจัดฟันมีหลายแบบหลายประเภท ตามปัญหาและความต้องการของผู้ที่รับการจัดฟัน ซึ่งแบ่งเป็น 2 ประเภทใหญ่ๆ ได้แก่ การจัดฟันแบบติดเครื่องมือ และการจัดฟันแบบถอดได้ โดยแยกย่อยเป็น 4 แบบด้วยกัน

 

  1.       การจัดฟันแบบโลหะหรือเหล็กจัดฟัน (การจัดฟันแบบติดเครื่องมือ)

เป็นการจัดฟันที่ใช้กันทั่วไปและรู้จักกันมากที่สุด พบได้บ่อยที่สุด เพราะมีราคาถูกกว่าการจัดฟันแบบอื่น และได้ผลดี การจัดฟันแบบนี้จะใช้ Bracket ยางรัดฟัน (o-ring) และลวดจัดฟัน โดยทันตแพทย์จะติด Bracket ที่ผิวหน้าของฟัน แล้วใช้ลวดร้อยเข้าไป จากนั้นใช้ยางยึดลวดให้อยู่กับ Bracket ซึ่งจะช่วยดึงฟันให้เคลื่อนไปยังตำแหน่งที่เหมาะสม

การจัดฟันแบบนี้ต้องพบทันตแพทย์ทุกๆ 4 – 6 สัปดาห์เพื่อปรับเปลี่ยนยาง ใช้เวลาจัดฟัน 2 – 5 ปี

 

  1.       การจัดฟันแบบ Damon (การจัดฟันแบบติดเครื่องมือ)

จะเป็นการจัดฟันคล้ายๆ การจัดฟันแบบโลหะหรือเหล็กจัดฟัน แต่ตัว Bracket และลวดจะแตกต่างออกไป การจัดฟันแบบนี้ใช้ Bracket แบบ Slide Bracket ซึ่งจะล็อกลวดโดยไม่ต้องใช้ยางรัดฟัน และไม่ต้องเปลี่ยนยางรัดฟันบ่อยๆ ซึ่งช่วยลดแรงเสียดทานในการดึงฟัน ทำให้เจ็บน้อยกว่าการจัดฟันแบบโลหะทั่วไป อีกทั้งยังเคลื่อนฟันให้ไปยังตำแหน่งที่เหมาะสมได้เร็วกว่าอีกด้วย แต่การจัดฟันแบบนี้จะมีราคาสูงกว่าการจัดฟันแบบโลหะทั่วไป

การจัดฟันแบบนี้ต้องพบทันตแพทย์ทุกๆ 6 – 8 สัปดาห์ เพื่อปรับลวด ใช้เวลาจัดฟัน 1 – 3 ปี

 

  1.       การจัดฟันแบบ Invisalign (การจัดฟันแบบถอดได้)

การจัดฟันแบบ Invisalign ได้รับความนิยมอย่างสูง โดยเฉพาะในหมู่ดารานักแสดง เพราะมองไม่เห็นเครื่องมือจัดฟัน เนื่องจากตัวเครื่องมือมีลักษณะใส สามารถถอดได้ในตอนรับประทานอาหารหรือทำความสะอาดฟัน แต่สามารถจัดฟันได้อย่างมีประสิทธิภาพแม้ว่าจะมีปัญหาฟันเก ฟันซ้อนมากก็ตาม และที่สำคัญคือใช้เวลาน้อย อีกทั้งยังไม่ต้องมาพบแพทย์บ่อยๆ อีกด้วย แต่การจัดฟันแบบนี้มีราคาสูงมากๆ

การจัดฟันแบบนี้ต้องพบทันตแพทย์ทุกๆ 6 – 8 สัปดาห์ เพื่อติดตามผลการจัดฟัน ใช้เวลาจัดฟัน 1 – 3 ปี

 

  1.       การจัดฟันแบบ Clear Aligner (การจัดฟันแบบถอดได้)

การจัดฟันแบบ Clear Aligner นี้ มีลักษณะคล้ายการจัดฟันแบบ Invisalign แต่ใช้เครื่องมือน้อยกว่ามาก ไม่ต้องออกแบบเครื่องมือมากมาย เหมาะสำหรับคนที่มีปัญหาเรื่องฟันเพียงเล็กน้อย ต้องการจัดเรียงฟันให้เป็นระเบียบมากขึ้น หรือคนที่เคยจัดฟันมาแล้วแต่ไม่ได้ใส่รีเทนเนอร์ การจัดฟันแบบนี้จะใช้ราคาไม่สูงถ้าเทียบกับการจัดฟันแบบอื่นๆ

จัดฟันมีขั้นตอนอย่างไร?

ขั้นตอนที่ 1 ปรึกษาทันตแพทย์เพื่อประเมินช่องปากว่าเหมาะกับการจัดฟันแบบไหน ทันตแพทย์จะได้วางแผนการรักษาที่เหมาะสม

ขั้นตอนที่ 2 หลังจากเลือกรูปแบบการจัดฟันแล้ว จะพิมพ์ฟัน ถ่ายภาพ X-ray เพื่อเก็บข้อมูลนำมาประกอบการจัดฟัน

ขั้นตอนที่ 3 ทันตแพทย์จะเช็กสุขภาพช่องปาก และเคลียร์ช่องปากด้วยการขูดหินปูน ถอนฟัน อุดฟัน รักษารากฟัน ฯลฯ ตามความเหมาะสมกับแต่ละบุคคลเพื่อไม่ให้มีปัญหาระหว่างการจัดฟัน

ขั้นตอนที่ 4 ทันตแพทย์จะติดเครื่องมือจัดฟันที่คนไข้เลือกไว้ให้ และนัดติดตามผลการรักษาตามความเหมาะสมของแต่ละเครื่องมือ

ขั้นตอนที่ 5 เมื่อจัดฟันเสร็จแล้ว ทันตแพทย์จะถอดเครื่องมือจัดฟัน และให้คนไข้ใส่รีเทนเนอร์เพื่อคงสภาพฟันเอาไว้อย่างต่อเนื่อง

จัดฟันที่ไหนดี?

         การจัดฟันเป็นการรักษาที่ละเอียดอ่อนมากๆ ต้องทำโดยทันตแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางด้านการจัดฟันเท่านั้น เพราะถ้าหากทำโดยผู้ที่ไม่มีความรู้เพียงพอ อาจทำให้เกิดปัญหามากมาย จึงควรหลีกเลี่ยงคลินิกหรือร้านทำฟันที่ดูไม่ได้มาตรฐาน ไม่ได้ทำโดยทันตแพทย์เฉพาะทาง

         นอกจากนี้ ควรเลือกคลินิกที่มีอุปกรณ์เครื่องมือครบพร้อม ได้มาตรฐาน ที่สำคัญคือ ควรเป็นคลินิกที่เราเดินทางไปรักษาได้สะดวก เนื่องจากการจัดฟันแต่ละครั้งใช้เวลา 1 – 5 ปี ต่อเนื่องกันเพื่อให้การรักษาได้ผลดีที่สุด และเกิดปัญหาน้อยที่สุด   

บทความน่ารู้เกี่ยวกับการจัดฟัน

เมนู